ฟิคชั่นการกุศล : พี่ชายข้างบ้าน 4

ฟิคการกุศล

 

 

Fiction

Title : พี่ชายข้างบ้าน

Type : ฟิคการกุศล

Genre : Romance

Rating : PG-15(เฉพาะในส่วนที่ลงให้อ่านเป็นตัวอย่าง)

Character : Wangjunkai x Wangyuan

Join : Karry Wang x Liuyanfen

Writer : Mint Chocolate Chip

Warning : ฟิคชั่นเรื่องนี้คือฟิคชั่นที่เราเคยเขียนไว้เมื่อนานมาแล้ว นำมารีไรท์ใหม่เพื่อโปรเจคท์การกุศลในครั้งนี้ รายได้จากการรวมเล่มทั้งหมดนำไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับแมวและค่าอาหารค่ะ

 

 

พี่ชายข้างบ้าน4

 

 

 

Chapter 4

 

 

 

อิ่มท้องไม่พอแถมยังไม่ต้องออกแรงเดินให้เมื่อย ใครจะสุขกายสบายใจเสมอเหมือนหวังหยวนเป็นไม่มี คนตัวเล็กเกาะหลังพี่ชายข้างบ้านพลางพูดเจื้อยแจ้วเพื่อไม่ให้ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศของพวกเขามากเกินไป วันนี้ข่ายเกอเก่อเหมือนมีเรื่องหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่ทุกครั้งในยามที่เผลอตัว หวังหยวนสามารถจับสังเกตได้แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามจึงได้แต่สรรหาสารพัดเรื่องเล่าดึงชายหนุ่มออกจากอาการครุ่นคิดไม่ตกนั่น

 

 

“ข่ายเกอเก่อ ผมหิวน้ำอ้ะ” เสียงแง้วๆ ดังอยู่ข้างหู คนตัวสูงเบี่ยงหน้ามองเจ้าเด็กช่างพูดที่กำลังย่นคิ้ว ทำหน้ามู่ทู่

 

 

“พูดไม่หยุดก็ต้องแบบนี้แหละ” เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนได้ผลตอบแทนเป็นท่อนแขนที่รัดรอบคอแน่นขึ้นอย่างจะแกล้ง

 

 

“หิวน้ำจริงๆ นะ ซื้อโคล่าให้ผมหน่อยดิ” กำลังเดินผ่านตู้ขายน้ำอัตโนมัติไปอยู่แล้วก็ต้องหยุดลงตามเสียงอ้อนของเด็กข้างบ้าน กระป๋องโคล่าเย็นเฉียบถูกยื่นมาตรงหน้าแต่เด็กที่วันนี้เอาแต่ใจอย่างยิ่งยวดร้องขอให้หวังจวิ้นข่ายเปิดสลักให้

 

 

“ยังเจ็บข้อเท้าอยู่รึเปล่า?”

 

 

“ก็ตึงๆ อยู่นิดหน่อย ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี้จิ๊บจ๊อย” ไอ้เด็กตาโตหัวเราะในลำคอเบาๆ “เจ็บมากกว่านี้ยังเคยเลย”

 

 

“อะไรนะ?”

 

 

“ผมเป็นนักฟุตบอลของโรงเรียนนะข่ายเกอเก่อ เรื่องบาดเจ็บเป็นเรื่องธรรมดาออกจะตาย ใครๆ ก็ต้องเคยกันทั้งนั้น”

 

 

หวังจวิ้นข่ายเกือบจะโพล่งถามออกไปแล้วว่าตอนไหน เมื่อไหร่ ทำไมเขาไม่เคยรู้ แต่ก็ยั้งปากเอาไว้ได้ทัน ในเมื่อความจริงที่ผุดขึ้นมาตีกลางแสกหน้าว่าความสนใจของเขาที่มีต่อหวังหยวนก็เพิ่งมีมาไม่นานนี้เอง เขาเพิ่งจะได้หันมามองเด็กข้างบ้านอย่างเต็มตาก็เมื่อเขาเริ่มรู้สึกว่าตัวตนของตัวเองเป็นสิ่งส่วนเกินในชีวิตประจำวันของแคร์รี่

 

 

…เพิ่งจะมองเห็นในวันที่แฝดผู้น้องคิดได้แล้วว่าโลกของพวกเขาไม่ได้มีแค่พี่น้องที่เกิดจากไข่ใบเดียวกัน แต่มีหลิวเยี่ยนเฟินที่เพิ่มเข้ามาเป็นทุกอย่างเป็นทุกอย่างของชีวิต…วันนั้นเองที่เสี่ยวข่ายได้หันมาเห็นว่าข้างกายเขานั้นยังมีเด็กน้อยข้างบ้านอยู่เป็นเพื่อน…ไม่ได้มีแค่แคร์รี่หรือเยี่ยนเฟินที่อยู่ข้างกายเขาในชีวิตแต่ละวันแล้ว

 

 

นึกมาถึงตอนนี้ ชายหนุ่มก็อยากจะตั้งคำถามอย่างจริงจังว่าเขามองข้ามไปได้อย่างไรกันนะ ทั้งที่อยู่ใกล้กันขนาดนี้ แต่กลับมองข้ามไปอย่างง่ายดาย ดวงตาคู่คมหม่นแสงลง…ไม่ยุติธรรมเลยสำหรับหวังหยวน เขาจึงพยายามทดแทนวันเวลาที่สูญเสียไปด้วยการดึงตัวเองเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเจ้าตัวเล็ก เจ้ากี้เจ้าการและก้าวก่ายในทุกๆ จังหวะการก้าวเดินของหวังหยวน ด้วยหวังว่าการกระทำของเขาจะตอบแทนความห่วงใยและปรารถนาดีที่อีกฝ่ายเคยมอบให้

 

 

แต่ลึกลงในใจแล้ว ชายหนุ่มอาจจะมองหวังหยวนก็เพื่อจะลบภาพใครบางคนออกไปต่างหาก

 

 

“แม่ต้องดุผมอีกแน่เลยอ้ะ ข่ายเกอเก่อ” เสียงใสเอ่ยอ้อนมาอีก…รู้สึกว่าวันนี้เจ้าตัวดื้ออ้อนเขามากกว่าหลายๆ วันรวมกันเสียอีก

 

 

“แล้วยังไง?”

 

 

“โธ่ ข่ายเกอเก่อง่ะ อย่ากวนกันดิ ช่วยคิดหน่อยว่าทำไงให้แม่ดุผมน้อยๆ หรือไม่ดุเลยยิ่งดี”

 

 

“หมายความว่าจะให้พี่ช่วยปิดบังคุณน้าหรือยังไง?” ยืนเท้าเอวถามคนตัวเล็กที่พิงกำแพงทิ้งน้ำหนักลงขาข้างที่ไม่เจ็บ

 

 

“ถ้าได้ก็ดีมากเลยครับ” เด็กหนุ่มช้อนตากลมๆ มองพี่ชายข้างบ้าน นึกไปเองหรือเปล่าว่าสีหน้าพี่ท่านดูจะไม่สบอารมณ์นัก เหมือนหวังหยวนชวนคนดีศรีสังคมอำพรางคดีฆาตกรรมยังไงยังงั้น

 

 

“แต่พี่ไม่เห็นด้วยว่าเราจะปิดบัง ที่คุณแม่ดุก็เพราะว่าเป็นห่วงหยวนหยวนมากและต้องการให้จดจำเป็นบทเรียนว่าคราวหน้าคราวหลังควรจะระมัดระวังให้มากกว่านี้…” หวังหยวนหุบยิ้มฉับ หน้าตูมจนแก้มขึ้นกลม…ขืนไอ้พี่ชายข้างบ้านร่ายเทศนาอีกคำเดียวหวังหยวนจะยกมือขึ้นสาธุจริงๆ ด้วย ดูเหมือนคนตัวสูงจะล่วงรู้ความคิด ริมฝีปากได้รูปสวยจึงผุดรอยยิ้มกึ่งระอาใจแล้วเอ่ยคำ

 

 

“พี่จะช่วยพูดให้ แต่ไม่รับประกันนะว่าจะโดนดุน้อยลงหรือเปล่า?” รอยยิ้มใสคลี่บานเต็มสองแก้ม หวังหยวนเกือบกระโดดถองลมแล้วถ้าไม่เห็นลูกตาดุๆ นั้นเสียก่อน

 

 

“ถ้าข่ายเกอเก่อชวยพูด แม่ไม่ดุผมชัวร์” เจ้าตัวเล็กยิ้มมั่นใจแถมยักคิ้วหลิ่วตาให้เสียด้วย

 

 

“ไป กลับบ้านกัน เดี๋ยวจะดึกยิ่งกว่านี้”

 

 

“ครับผม!”

.

.

.

.

สรุปแล้วนอกจากจะช่วยพูดให้เจ้าตัวดื้อไม่โดนดุแล้วยังแถมพกมานอนค้างที่บ้านได้อีกหนึ่ง แม่ของเขาที่เพิ่งกลับมาจากไปเยี่ยมพ่อจึงรับขวัญการมานอนที่บ้านด้วยขนมมัฟฟินช็อกโกแลตให้หวังหยวนได้อิ่มเปรมก่อนเข้าห้องนอน แต่แทนที่จะกินอิ่มแล้วได้นอนหลับ ไอ้พี่ชายข้างบ้านกลับขนตำราข้อสอบเก่ามาวางบนโต๊ะตัวเตี้ย ตบปุๆ บนเบาะข้างเคียงเป็นเชิงให้หวังหยวนมานั่งลงตรงนี้

 

 

“โห…เกอเก่อ ผมง่วงแล้วนะ” หวังหยวนแกล้งหาวปากกว้างให้ดูเป็นขวัญตา แต่ชายหนุ่มกลับเหยียดยิ้มเหี้ยม

 

 

“พรุ่งนี้วันเสาร์ตื่นสายได้ มาติวกันก่อนสักสองชั่วโมงแล้วกัน” หวังหยวนแอบหันหน้าไปเบ้ปาก ที่เมตตาพาไปเลี้ยงข้าวเย็นนึกว่าจะใจดี ที่แท้หวังผลอย่างนี้นี่หว่า…ตบหัวแล้วลูบหลัง!!

 

 

เด็กข้างบ้านอิดออดนิดหน่อยแต่ก็ยอมเดินไปทิ้งตัวนั่งเคียงข้างชายหนุ่ม มือเล็กเปิดหนังสือกระแทกกระทั้นเหมือนอยากจะฉีกทึ้งมันให้ยับย่นคามือ

 

 

“จะติวอิ้งค์ใช่ไหม?” หวังจวิ้นข่ายถามเมื่อมือเล็กยังพลิกหน้ากระดาษหนังสือภาษาอังกฤษไปเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดค้างที่หน้าไหน

 

 

“เมื่อวานติวไปแล้ว ขอวิชาอื่นเหอะ”

 

 

“จะติววิชาอะไรล่ะ?”

 

 

“สปช.” ริมฝีปากสีสดพ่นคำพร้อมทอดถอนลมหายใจยาว

 

 

“ห๊ะ?”

 

 

“สปช.ไง” คิ้วคมขมวดย่น เจ้าตัวดื้อคิดอะไรแผลงๆ อีกแล้วล่ะสิ?

 

 

“สปช.อะไร?”

 

 

“ก็วิชาสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตเซ็กส์ไง” เด็กข้างบ้านพูดหน้าตาเฉย แต่ดวงตากลมโตพราวระยับอย่างนึกสนุกที่ได้แกล้ง หวังจวิ้นข่ายสำลักลมหายใจทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น

 

 

“…แค่ก…แค่ก…หวังหยวน!!” ชายหนุ่มปรามเสียงดุเมื่อหวังหยวนลงไปนอนขำกลิ้งกับพื้น ไม่น่าเชื่อว่ามุกทะเล้นที่เพื่อนเขาใช้เล่นกับบรรดาผองเพื่อนร่วมก๊วนจะใช้ได้ผลกับพี่ชายข้างบ้านนี้ด้วย

 

 

ขำชะมัดเลยอ้ะ!!

 

 

คนที่ไอหน้าดำหน้าแดงพอเห็นเด็กข้างบ้านล้อเล่นไม่รู้จักเวล่ำเวลาถึงกับเอนหลังนอนกับพื้นกุมท้องเกลือกกลิ้งไปมาแล้วนึกอยากลงโทษนัก จึงเอื้อมมือไปบีบจมูกเล็กตัดระบบทางเดินหายใจเสียเลย

 

 

“อ๊า…หายใจไม่ออก!!” คนเสียเปรียบทั้งร่างกายและพละกำลังร้องประท้วงดิ้นปัดแข้งปัดขา แต่นิ้วที่ราวกับคีมเหล็กกลับหนีบไม่ปล่อย

 

 

“อะไรนะ ไม่ได้ยิน” พี่ชายข้างบ้านที่สวมบทนักฆ่า เอ้ย นักแกล้งมือฉมังถามปนหัวเราะ

 

 

“ขอโทษครับข่ายเกอเก่อ ไม่เล่นแล้ว ติวหนังสือก็ได้” เด็กหนุ่มร้องบอกก่อนที่ลมหายใจจะขาดห้วง คีมเหล็กจึงได้ยอมปล่อยแต่ก็ทิ้งรอยแดงไว้บนปลายจมูกโด่งเล็ก หวังหยวนสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดยามที่ถูกมือใหญ่ซ้อนใต้แผ่นหลังดึงให้ลุกขึ้นนั่ง

 

 

“แรงคนรึเปล่าเนี่ย บีบจมูกจนแทบหักแน่ะ” เด็กช่างว่าทำหน้าบึ้งไม่พอใจ ก็ทำไมล่ะ อยากแกล้งเขาเองนี่

 

 

“เจ็บเหรอ?”

 

 

“อื้อ…เจ็บสิ บีบแรงขนาดนั้นไม่เจ็บได้ยังไง” เจ้าตัวดื้อต่อว่าต่อขานกันตรงๆ ไม่มีอ้อมค้อม พี่ชายข้างบ้านเหน็บรอยยิ้มร้ายกาจอย่างที่หวังหยวนไม่ค่อยจะได้เห็นนัก ริมฝีปากอุ่นจัดแตะลงบนปลายจมูกแดงเรื่อเบาๆ

 

 

“โอมเพี้ยง! หายเจ็บแล้วนะ” หวังจวิ้นข่ายพูดจาอ่อนหวานหลอกล่อเด็กน้อยให้ลืมความเจ็บ แต่เจ้าตัวดื้อของเขากลับบู้หน้าไม่พอใจหนักกว่าเดิม

 

 

“หลอกเด็ก นิสัยไม่ดี”

 

 

หวังจวิ้นข่ายหัวเราะด้วยความขบขัน ใจนึกเอ็นดูแกมหมั่นเขี้ยวส่งให้ชายหนุ่มจรดริมฝีปากจูบปลายจมูกเล็กนั่นซ้ำๆ คนถูกจูบขยับตัวยุกยิก ผิวแก้มใสซับสีเลือดฝาด…วันนี้ข่ายเกอเก่อมาแปลก มาถึงก็เอาใจเขายกใหญ่ ถึงจะเข้าโหมดโหดบ้างแต่ก็เล็กน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับการไถ่โทษเอาใจ

 

 

“หายเจ็บแล้ว” เสียงใสร้องบอกก่อนที่คนตัวโตจะไถลริมฝีปากไปข้างแก้ม หวังจวิ้นข่ายหัวเราะหึในลำคอยามรั้งตัวเองออกจากผิวนุ่มและกรุ่นกลิ่นแป้ง

 

 

“ตกลงติวกันก่อนนอนสองชั่วโมงนะ?”

 

 

“แต่ไม่เอาเลขกับอิ้งค์นะ” เจ้าตัวดื้อยังกล้ามีข้อต่อรอง แต่หวังจวิ้นข่ายก็ไม่ถือเป็นอารมณ์เพราะพรุ่งนี้เป็นวันหยุดมีเวลาอีกเยอะที่จะอัดคณิตศาสตร์ให้อ๊วกออกมาเป็นสแควร์รูทเลยเถอะ

 

 

หวังหยวนเลยหยิบตำราวิชาสังคมขึ้นมาอ่าน ข้างๆ เป็นชายหนุ่มตัวสูงที่หยิบเอารายงานมาทำเช่นกัน ผ่านไปยังไม่ทันถึงครึ่งชั่วโมงหันมาอีกทีก็พบว่าเจ้าตัวดื้อของเขาฟุบหลับคากองหนังสือแล้ว ใบหน้าหล่อเหลายื่นไปใกล้สัมผัสผิวแก้มรู้สึกว่ามันอุ่นจัด แม้จะเป็นอุณหภูมิที่เหมือนจะปกติแต่ชายหนุ่มก็ไม่วางใจ เขาจึงปลุกหวังหยวนขึ้นมาทานยาพาราเซตามอล

 

 

“ขมอ่า…” ไอ้เด็กข้างบ้านบอกเสียงงัวเงีย ดวงตาปริบปรือแทบลืมไม่ขึ้นด้วยซ้ำ

 

 

“เอ้า ไปนอนได้แล้ว” แต่คำตอบรับกลับเป็นวงแขนเล็กที่โอบรอบต้นคอและอาการซุกพิงศีรษะกับแผ่นอกเขาอย่างสบาย หวังจวิ้นข่ายถอนใจให้กับคนที่หลับใหลไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าจะเอ็นดูหรือนึกระอาใจดี

 

 

เหมือนลูกลิงเกาะกิ่งไม้ไม่ยอมปล่อยเมื่อชายหนุ่มพาร่างเล็กมานอนบนเตียงแล้ว เขาจึงต้องมานั่งปลดแขนที่รัดอยู่รอบคอออก มันแกล้งหรือเปล่าก็ไม่รู้เขาจึงขยับใบหน้าเข้าไปใกล้จนริมฝีปากคลอเคลียแผ่วเบา

 

 

“หยวนหยวน…”

 

 

สิ่งตอบรับคือลมหายใจที่ทอดสม่ำเสมออย่างน่าตี หวังจวิ้นข่ายยิ้มขำก่อนจะลุกขึ้นไปเก็บรายงานและตำราวิชาการต่างๆ มองข้าวของที่เก็บเรียบร้อยแล้วจึงเดินไปปิดสวิตซ์ไฟที่ผนังตรงประตู กดรีโมทปรับอุณหภูมิให้พอดีไม่หนาวจนเกินไปแล้วทรุดกายลงนั่งกับเตียงที่ครึ่งหนึ่งแบ่งปันให้เจ้าเด็กข้างบ้านไปแล้ว

 

 

ร่างเล็กพลิกนอนหงาย ปอยผมบางส่วนรุ่ยร่ายบดบังผิวหน้าปลายนิ้วแข็งแรงจึงจัดการเกลี่ยให้พ้นดวงหน้าใส แสงสลัวจากไฟริมถนนทำให้ชายหนุ่มยังพอมองเห็นกลีบปากสดนุ่มที่เผยอน้อยๆ อย่างน่าเอ็นดูนักในความรู้สึกของเขาตอนนี้

 

 

เร็วเท่าความคิดเมื่อริมฝีปากอุ่นจัดแตะลงบนกลีบปากสดนุ่มของเด็กข้างบ้าน…

 

 

ไม่ใช่สัมผัสรวดเร็วแผ่วเบาแต่แนบคลึงอยู่อย่างนั้นและดูเหมือนจะขบเบาๆ พอให้รู้ว่าจูบนั้นเกิดจากความตั้งใจ ไม่ใช่เพียงแค่จูบราตรีสวัสดิ์ที่เห็นกันในหนังละครหรือภาพยนตร์…

 

 

ไม่มีคำพูดหลังจากจูบนั้น มีเพียงการยุบยวบลงของที่นอนตามน้ำหนักของร่างสูงและเสียงทอดลมหายใจหนักๆ แต่คนที่นอนหลับไปก่อนยังคงทอดลมหายใจ…เกือบจะสม่ำเสมอเป็นปกติ นานหลายนาทีกว่าร่างเล็กจะพลิกตัวตะแคงหันหลังเหมือนหาท่านอนให้สบาย มือเล็กคว้าหมอนข้างใบน้อยซุกหน้าแนบลงไปเพื่อนจะซ่อนผิวแก้มร้อนฉ่าจากการสังเกตของคนที่นอนเคียงข้าง

 

 

เสียงหัวใจเต้นแรงจนตัวเองยังรู้สึกว่ามันดังมากจนเกินไป…มากจนกลัวว่าใครอีกคนจะจับพิรุธได้ แต่ร่างสูงก็ยังคงนอนเงียบเหมือนหลับไปแล้วด้วยซ้ำ หวังหยวนเม้มกลีบปากย้ำรอยขบเบาบางแล้วอุณหภูมิแทบพุ่งสูงเป็นร้อยๆ องศา

 

 

หนึ่งจูบนั้นแปลว่าอะไร?

.

.

.

.

เช้าแล้ว

 

 

แต่ที่ว่างข้างกายของชายหนุ่มกลับเย็นชืดนัก เป็นการบอกว่าคนที่นอนร่วมเตียงมาตั้งแต่เมื่อคืนได้ลุกจากไปนานมากแล้ว หวังจวิ้นข่ายลุกขึ้นนั่งกะพริบตาเพื่อปรับอารมณ์และรับรู้บรรยากาศรอบๆ ว่าเวลานี้คือตอนเช้าแล้ว ดวงตาดำคมปรายมองนาฬิกาทรงกลมที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียงพบว่ามันเพิ่งจะเจ็ดโมงครึ่ง แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวดื้อจะลุกไปตั้งแต่ยังไม่ทันฟ้าสางเลยด้วยซ้ำ แต่น่าแปลกว่าทำไมเขาไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดเดียว ทอดเวลาให้ความสงสัยกลายเป็นตะกอนขุ่นในใจเพียงครู่ ร่างสูงจึงลุกเข้าไปในห้องน้ำจัดการธุระส่วนตัวจนเรียบร้อย

 

 

ลงมาข้างล่างทั้งที่ปลายผมยังชื้นผิดวิสัยอันเป็นปกติของคนที่เนี้ยบไปทุกกระบวนท่าอย่างที่หวังหยวนเคยค่อนขอด ดวงตาดำคมกวาดไปทั่วบ้านแล้วจึงจับเสียงหัวเราะใสที่ดังมาจากทางห้องครัวได้ ร่างสูงไม่รอช้าก้าวเข้าไปแล้วพบว่าเด็กหนุ่มกำลังช่วยแม่เขาตระเตรียมอาหารเช้าอย่างสนุกสนาน

 

 

“อ้าว ข่ายเกอเก่อตื่นแล้วเหรอ?” ทักเสียงใสพร้อมรอยยิ้มกว้างเหมือนเดิม เจ้าตัวดื้อกุลีกุจอดันหลังเขาให้ไปนั่งที่โต๊ะอาหาร หวังหยวนบอกว่าขอฝากท้องอีกสักมื้อ ที่บ้านไม่มีใครอยู่แล้วเพราะพ่อออกไปทำงานที่บริษัท ส่วนแม่ก็ออกไปที่ช็อปขายเสื้อผ้า ตอนแรกแม่ของหวังหยวนเป็นเพียงแม่บ้านแต่เพราะต้องการช่วยแบ่งเบาภาระเมื่อลูกชายสามารถช่วยเหลือดูแลตัวเองได้เธอจึงออกไปทำงาน

 

 

“ตื่นเช้าจัง ตัวดื้อ” ชายหนุ่มขยี้กลุ่มผมนุ่มแล้วโยกศีรษะเล็กไปมา

 

 

หวังหยวนหัวเราะเสียงใสเมื่อบอก “ก็ตื่นไปส่งพ่อกับแม่น่ะสิ หนีมานอนค้างกับพี่ชายข้างบ้านมาสองคืนติดกันแล้วเดี๋ยวพ่อกับแม่จะคิดถึง”

 

 

“มานอนนี่แหละดีแล้วละจ้ะ หยวนหยวน แม่เค้าเป็นห่วงถ้าจะให้อยู่บ้านคนเดียว” คุณแม่ของหวังจวิ้นข่ายบอกอย่างใจดีขณะลำเลียงอาหารเช้าตั้งโต๊ะ เธอรู้ว่าครอบครัวของหวังหยวนไม่ได้ร่ำรวยอะไรนักแต่เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีสำหรับลูกชายคนเดียวจึงยอมย้ายมาอยู่ในย่านนี้ถึงแม้ต้องผ่อนส่งค่าบ้านนานหลายปีก็ตาม

 

 

“มาเป็นลูกป้าอีกคนเถอะเรา” หวังหยวนเพียงแค่ยิ้มรับ เสยกถ้วยน้ำซุปขึ้นดื่มพลางแอบปรายตามองพี่ชายข้างบ้าน ฝ่ายนั้นเพียงแค่คีบข้าวเข้าปากไม่ได้พูดอะไรอีก บทสนทนาจึงผูกขาดแค่ผู้เป็นแม่กับเด็กข้างบ้าน แม่ของหวังจวิ้นข่ายดูจะชินแล้วกับความเงียบขรึมของลูกชายคนโต แต่การที่มีหวังหยวนพูดแจ้วๆ อยู่ด้วยค่อยคลายความคิดถึงลูกชายคนเล็กแฝดน้องของเสี่ยวข่ายได้เช่นกัน

 

 

“แคร์รี่ย้ายไปอยู่คนเดียวแบบนี้แม่เป็นห่วงจัง คิดว่าจะไปเยี่ยมสักหน่อย เสี่ยวข่ายไปด้วยกันมั้ยลูก?” คนเป็นแม่กล่าวถึงลูกชายคนเล็กที่ต้องย้ายไปอยู่อพาร์ตเมนต์ใกล้มหาวิทยาลัยที่ตัวเองสอบเข้าได้

 

 

ตอนแรกคนเป็นมารดาอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมสองพี่น้องถึงได้แยกห่างกัน แต่ก็เข้าใจได้เองว่ามันอาจจะถึงเวลาแล้วที่พี่น้องฝาแฝดควรรับผิดชีวิตตัวเอง ไม่ใช่อยู่ติดกันตามเป็นเงาไม่ห่าง…มันบ่งบอกว่าลูกชายของเธอกำลังเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว

 

 

“คุณป้าไม่ต้องห่วงพี่แคร์รี่หรอกครับ ยังไงพี่เยี่ยนเฟินก็ดูแลอยู่แล้ว” หวังหยวนพูดจาเหมือนรู้ดี ความจริงการที่แคร์รี่ไม่สอบเข้าเป่ยเตี้ยนกับเสี่ยวข่ายก็เป็นเพราะว่าต้องการไปเรียนที่เดียวกับหลิวเยี่ยนเฟินเป็นสาเหตุหนึ่ง

 

 

“ให้เยี่ยนเฟินเขาดูแลลูกชายป้าคนเดียวก็หนักแย่สิจ๊ะ อย่างน้อยช่วยซื้อขนมนมเนย ซื้อของใช้เข้าบ้านก็ยังดี” คนเป็นแม่รู้ดีว่าลูกชายคนเล็กคบหากับหญิงสาวที่เคยเป็นเพื่อนร่วมเรียนโรงเรียนเดียวกันมาก่อนและเธอเองก็เอ็นดูหลิวเยี่ยนเฟินเหมือนลูกสาวแท้ๆ อีกคนเช่นกันจึงไม่เคยห้ามปรามอะไร มีแต่จะสนับสนุนและช่วยเหลือประคับประคองชีวิตที่เพิ่งเริ่มต้นด้วยตัวเองของเด็กทั้งคู่

 

 

“ข่ายเกอเก่อ ไปนะครับ ไปนะ?” ไอ้เด็กข้างบ้านหันมาเร่งเร้าเพราะคงรู้ว่าวันหยุดอย่างนี้หวังจวิ้นข่ายต้องติวเข้มสุดโหดแน่

 

 

“ไปก็ได้ครับ ไม่ได้เจอกันเกือบเดือนแล้ว” เสี่ยวข่ายตอบรับง่ายๆ ความจริงเขาก็คิดถึงแฝดน้องเหมือนกันและก็อยากจะเคลียร์อะไรบางอย่างที่เพิ่งได้รับรู้มาด้วย

 

 

ชายหนุ่มยังจดจำแววตาเศร้าและเสียงสั่นพร่าของหลิวเยี่ยนเฟินได้ดี…จำได้เพราะมันก่อผลกระทบต่อหัวใจจนรวดร้าวไปทั้งอก

 

 

‘…แคร์รี่น่ะ…แคร์รี่เขา….’

 

 

เยี่ยนเฟิน…ถ้าเป็นฉัน…

 

 

ฉันจะไม่มีวันทำให้เธอเสียใจเป็นอันขาด

 

 

 

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

4 thoughts on “ฟิคชั่นการกุศล : พี่ชายข้างบ้าน 4

  1. ไม่เข้าใจ..ไม่เข้าใจข่ายเกอจริงๆนะ จูบนั้นหมายถึงอะไร??
    จูบน้องไปแล้วแต่เหมือนในใจยังมีเยี่ยนเฟินอ่ะ
    รอตอนต่อไปค่ะ หงุดหงิดข่ายเกอมาสองตอนแล้ว 555

    Like

  2. แอบจุกแทนหวังหยวนหน่อยๆ แหะ
    เข้าหาเพื่อต้องการลบใครออกไปจากใจ
    ถ้าทำได้ก็ไม่เป็นไร ถ้าทำไม่ได้ หวังหยวนไม่เจ็บเหรอนั่น
    ทั้งที่ยังอาลัยอาวรณ์ ยังไม่น่าไปจูบน้องแบบนั้นเลยนะ
    ไม่ใช่ไม่สงสารข่ายเกอนะ แต่เราทีมน้องหยวนอ่ะ

    เหมือนจะได้กลิ่นดราม่าลอยมา
    เดี๋ยวแอบเตรียมผ้าเช็ดหน้ารอไว้

    ขอบคุณสำหรับฟิคนะคะ ^___^

    Like

  3. เอ๊ะ! ยังไงคะเก้อ เอาดีๆนะคะ
    เลือกใคร ระหว่างคนนั้น กับหยวนหยวน
    แล้วที่ดูแลเอาใจใส่น้องมาตลอด นี่อะไรกัน แล้วมาจูบน้องอีก รู้สึกยังไงกันแน่เก้อ แม่โกรธหนูนะ !!
    รออ่านตอนต่อไปอยู่นะ ✌🏻️สู้ๆนะคะไรท์

    Like

Leave a comment